การสร้างสุขแบบพุทธศาสน์+วิทยาศาสตร์

     ต้องยอมรับว่า บางครั้งชีวิตคนเราก็เต็มไปด้วยปัญหา
วุ่นวายต่างๆ มากมาย ซึ่งดูเหมือนสุดจะทนทาน

     ดังนั้น สัญชาตญาณของคนจึงเกิดความกังวลใจ
ต่อสิ่งที่มองไม่เห็นในอนาคต และพยายามหวนรำลึกถึง
อดีตเก่าๆ เรื่องเก่าๆ ที่ตนเคยสมหวัง สดชื่น อยู่บ่อยๆ

     ถ้าอยากจะแก้ปัญหานั้นให้หมดไป สิ่งสำคัญคือ จงใช้
หลักพุทธศาสน์ คือ “สติ” ความระลึกได้ การตื่นรู้ และ
จงหันหน้าเผชิญกับความจริงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต

     วิธีการนี้เท่านั้น ที่จะช่วยกระตุ้นการแตกกิ่งก้านของ
เซลล์สมอง เพิ่มจุดสัมผัสระหว่างกิ่งก้านของเซลล์สมอง
และเพิ่มการไหลเวียนของสารเคมีทางสมอง คือสารแห่ง
ความสุข (Endophins) + วิทยาศาสตร์

     การเปลี่ยนแปลงลักษณะดังกล่าวนี้ สมองจะสามารถ
ช่วยให้เราเผชิญกับปัญหาได้อย่างมีความสุข และเพิ่ม
ประสิทธิภาพการใช้ชีวิตมากขึ้น..!

จงเอาชนะความกลัว

     บ่อยครั้งที่ความกลัว ทำให้เสียโอกาสดีๆ ที่เข้ามา
ในชีวิตอย่างน่าเสียดาย เพราะความกลัวจะทำให้เรา
หยุดอยู่กับที่ ไม่กล้าที่จะก้าวเดินต่อไป

     หากสามารถควบคุมหรือเอาชนะความกลัว ให้หมด
จากใจได้ ย่อมจะทำให้เราเกิดความเข้มแข็ง และเกิด
กำลังใจ พร้อมที่จะสู้กับทุกสิ่งทุกอย่างต่อไปได้อย่าง
ง่ายดาย

     ชีวิต…ไม่มีอะไรน่ากลัวมากไปกว่า “ใจ” เราเอง
ที่ยอมจำนนต่ออุปสรรคต่างๆ ที่พบเจอ

     จงจำให้ขึ้นใจว่า “อุปสรรค” นั้นเป็นเพียง สีสัน
ของชีวิต ที่ช่วยแต่งเติมชีวิตให้มีรสชาติ สนุก ตื่นเต้น เร้าใจ
ให้เลือดลมสูบฉีด ก็เท่านั้น สู้ๆนะเด็กน้อย..!

ฝึกใจเข้าไปสู่วัยเด็ก


     ชีวิตเด็กๆ ในช่วงวัยไร้เดียงสานั้น เป็นชีวิตทีมีความสุข
เพราะเป็นวัยที่ปลอดความคิด หิวก็ร้องไห้ อิ่มก็หยุด
แต่พอเริ่มโตขึ้นสภาพแวดล้อมที่หล่อหลอมชีวิต ทำให้
ต้องคิดเรื่องต่างๆ มากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งอายุมาก ภารกิจ
ก็มากขึ้น มีพันธนาการของชีวิตเพิ่มขึ้น คิดจนสมองไม่ว่าง
และไม่สะสางความคิดต่างๆ ที่ตกค้างในสมองเลย

     ชีวิตจึงถูกหล่อหลอมด้วยระบบของความคิด ตั้งแต่
ตื่นนอนจนกระทั่งเข้านอน แม้หลับก็ยังคิด ทั้งตื่น ทั้งหลับ
ทั้งฝัน ตกอยู่ในอิทธิพลของความคิดทั้งสิ้น ชีวิตจึงมีแต่
ความทุกข์ทรมาน ไม่มีความสุข มีความเครียดสั่งสมอยู่
ตลอดเวลา

     การฝึกใจเข้าไปสู่วัยเด็ก สู่แหล่งกำเนิดของความว่าง
จากอารมณ์ความคิด คือแหล่งสันติสุขภายใน แหล่งของสติ
แหล่งของปัญญา แหล่งของอานุภาพพลังภายใน จึงมีความ
สำคัญ

     การทำอารมณ์ให้กลางๆ คือไม่สุขและไม่ทุกข์ มีอะไรให้
ดูก็ดูไปเรื่อยๆ แบบสบายๆ โดยไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น อย่า
ตั้งคำถามอะไรให้เกิดขึ้นในช่วงที่กำลังฝึกใจให้หยุด ให้ใจ
นิ่ง อย่าให้มีความคิดอะไรเกิดขึ้น แม้ว่าความคิดนั้น จะเป็น
สิ่งที่ดีงามก็ตาม เพราะเรากำลังจะฝึกไม่คิด ฝึกทำใจ
หยุดนิ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่คุ้นเคย

     การย้อนยุคอารมณ์ไปสู่วัยที่เรายังไร้เดียงสานี้ จะต้อง
ค่อยๆ ผ่อนความนึกคิด ที่มีมากให้ค่อยๆ ลดลง ที่มีน้อย
ให้มันหมดไป ด้วยการกำหนดสร้างสติ ด้วยวิธีการบริกรรม
ภาวนา คือ อยู่ในอารมณ์เดียว คือ อารมณ์ปัจจุบัน…!

ไม่มีใครยัดเยียดความทุกข์ให้เราได้ ถ้าเราไม่ยินยอม

     ก้อนหินจะหนักเพียงใด ถ้าเราไม่แบก ก็ไม่หนัก หนาม
แหลมคมเพียงใด ถ้าเราไม่เผลอไปเหยียบ ย่อมไม่เจ็บปวด
เมื่อรู้สึกหนักหรือรู้สึกเจ็บปวด เราจะโทษก้อนหิน หรือ
หนามแหลมอย่างเดียวไม่ได้ ต้องกลับมาดูว่า เรามีส่วนร่วม
ด้วยมั้ย

     หมายความว่า ไม่มีใครยัดเยียดความทุกข์ให้เราได้
ถ้าเราไม่ยินยอม และไม่มีใครขโมยความสุขจากเราไปได้
ถ้าเรารู้จักรักษา ทุกสิ่งอยู่ที่ตัวเราใจเราทั้งสิ้น

     “ใจเป็นใหญ่ให้หล้ามายาโลก, ที่ทุกข์โศกก็เพราะใจ
หาใช่อื่น หากหวังสุข ไร้ทุกข์อันยั่งยืน, ควรเร่งตื่นทำใจ
ไว้ในตน”

ขอให้กำลังใจ ชีวิตต้องก้าวย่างต่อไป…!

กุศโลบาย เรียก “สติ”

     หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน ท่านกล่าวว่า
     “พระพุทธคุณ อาตมาสังเกตมาว่า บางคนเขาไปหา
หมอดู เคราะห์ร้ายก็ต้องสะเดาะเคราะห์ อาตมาก็มาดู
เหตุการณ์ โชคลางไม่ดีก็เป็นความจริงของหมอดู อาตมาก็
ตั้งตำราขึ้นมาด้วยสติ

     บอกว่าโยมไปสวดพุทธคุณเท่าอายุให้เกินกว่า ๑ ให้ได้
เพื่อให้สติดี แล้วสวด “พาหุงมหากา” หายเลย

     สติก็ดีขึ้น เท่าที่ใช้ได้ผลสวดตั้งแต่ นะโม พุทธัง ธัมมัง
สังฆัง พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุงมหากา

     จบแล้วย้อนมาข้างต้น เอาพุทธคุณห้องเดียว ห้องละ
๑ จบ ต่อ ๑ อายุ อายุ ๔๐ สวด ๔๑ ก็ได้ผล”

     นี่เป็นกุศโลบาย เรียก “สติ” ที่ใช้ได้ผลดี การทำ การพูด
การคิด หากมี “สติ” เป็นเครื่องคุ้มครองรักษา ย่อมจะเกิด
ประโยชน์ต่อตน ต่อสังคม ที่สุดแม้ต่อโลก..!