คนที่มีความสุข คือคนที่คิดบวก

คนที่มีความสุข คือคนที่คิดบวก คิดแต่สิ่งดีๆ จะไม่คิดร้าย
พูดร้าย ทำรายต่อคนอื่น สัตว์อื่น

คนที่มีความสุข ย่อมต้องการให้คน สัตว์รอบข้างตน
มีความสุขด้วย

คนที่มีความทุกข์ คือคนที่ชอบพูดร้าย คิดร้าย ทำร้าย
คนอื่นสัตว์อื่น (พูดได้ คิดได้ ทำได้ทุกๆเรื่อง)

ฉะนั้น อยากมีความสุข ก็จงมี “สติ” อย่าหลงกล
เอาความทุกข์มาใส่ตนเด็นขาด..!

นิสัยเศรษฐี นิสัยยาจก

นิสัยเศรษฐี = จะฝึกให้ลูกหาเงินแต่เด็ก สอนให้เห็น
คุณค่าของเงิน เมื่อลูกเรียนจบก็จัดระบบการงานให้ ลูกจึงกตัญญู
ครอบครัวจึงเจริญ …!

นิสัยยาจก = จะฝึกให้ลูกใช้เงินแต่เล็ก ไม่รู้จักคุณค่าของเงิน
เมื่อลูกเรียน หรือเรียนจบก็ปล่อยตามยถากรรม ความกตัญญูจึงเสื่อมถอย
ครอบครัวจึงไม่เจริญ …!

การแผ่เมตตาให้บังเกิดผล มิใช่การท่องเพียงคำพูดเท่านั้น

การแผ่เมตตาให้บังเกิดผล มิใช่การท่องเพียงคำพูดเท่านั้น
ควรทำให้เป็นสิ่งที่ฝังในจิตใจด้วย เสมือนมารดาที่เลี้ยงบุตร
ให้ความรักเอ็นดูสงสาร มุ่งหวีงที่จะให้บุตรสุขกายสบายใจ
มีอาชีพการงาน มีวิชาเลี้ยงตนเองได้

ความรักที่แม่มีให้กับลูกเป็นความรักที่บริสุทธิ์ไม่มีพิษภัย
และไม่ต้องการผลตอบแทนจากลูก มีแต่ให้อย่างเดียว ถ้าเรา
แผ่เมตตาเหมือนกับพระอาทิตย์ส่องแสง เมตตานั้นจะมีพลังสูงยิ่ง
เพราะธรรมชาติของพระอาทิตย์ขณะส่องแสง ไม่ได้เลือกชุมชน
สรรพสัตว์ยากดีมีจน อยู่ที่สูงหรือที่ต่ำ จะใกล้หรือไกล
ก็ได้รับควมร้อนเท่ากัน

เมตตาธรรมก็เช่นกัน ขอให้แผ่ไปให้แก่ทุกชนมุกชั้นทุกระดับ
ใครจะได้รับมากน้อย สุดแต่วาสนาบารมีของผู้นั้น

โลกหมุนไปตามความคิด

ข้อมูลจากพระไตรปิฎก มีประโยคหนี่งว่า “โลกหมุนไปตามความคิด
ชีวิตเราคือโลก ๑ ใบ ซี่งหมายถึง คิดอย่างไรโลกก็จะเป็นแบบนั้น หากเรา
ฝึกคิดบวกจนชิน ทุกอย่างที่ทำก็จะได้ผลบวก”

ฉะนั้น โปรดจำไว้ว่า “ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรามีทั้งดีและไม่ดี สิ่งสำคัญ
อยู่ที่แนวความคิดของเราว่า เราจะเอาสิ่งที่อยู่รอบตัว มาทำให้เรามีกำลังใจ
ที่จะต่อสู้กับเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเราได้อย่างไร เช่น เวลาเจองานหนัก
ให้บอกกับตัวเองว่า นี่คือโอกาสและบทเรียนที่จะสร้างความเข้มแข็ง สร้างปัญญา
ได้อย่างวิเศษ เวลาเจอทุกข์หนัก ให้บอกตัวเองว่า นี่คือแบบฝึกหัดที่ทำให้เกิดทักษะ
ในการดำรงชีวิต”

อย่าทุกข์เพราะใจตัวเอง

เมื่อเริ่มต้นเดิน อย่ามองไปไกล จุดหมายของเราอยู่แค่ก้าวเท้า
แต่ละก้าวเท่านั้น สนใจกับแต่ละก้าวให้ดี แล้วที่เหลือมันมาเอง
อย่าไปกังวลกับจุดหมายมากนัก ไม่เช่นนั้นเราจะเบื่อ เราจะท้อ
ใจจะนึกว่าเมื่อไหร่จะถึง เมื่อไหร่จะถึง ทันทีที่เราเริ่มเดิน
ให้อยู่กับปัจจุบันให้ได้ และเปิดใจพร้อมยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นแดด ฝุ่น กรวดหินตามทาง ถ้าเราเปิดใจยอมรับทุกอย่าง
มีสติเดินอย่างระมัดระวัง เราจะเดินอย่างมีความสุข

แต่ถ้าใจเราบ่น ใจเราโวยวายว่า ทางน่าจะดีกว่านี้ น่าจะสั้นกว่านี้
ทำไมแดดร้อนอย่างนี้ คำว่าไม่น่าเลย ไม่น่าเลย ใจที่ดิ้น ใจที่ปฏิเสธ
ไม่ยอมรับความจริงนี่แหละ จะทำให้เราทุกข์มาก

ใจที่ยอมรับกับความจริงไม่ใช่ใจที่ยอมแพ้ แต่หมายความว่า
เราพร้อมที่จะเผชิญกับทุกอย่าง ถ้าเรายอมรับมันได้ เราจะมีแรงสู้
เราจะมีแรงเคลื่อน เราจะมีแรงขยับ ใจจะไม่บ่น อย่าลืมว่าเดินอย่างนี้
เราต้องเหนื่อยแค่อย่างเดียว อย่าเหนื่อยสองอย่าง คนเดินไม่เป็น
จะเหนื่อยสองอย่าง คือเหนื่อยกาย และเหนื่อยใจ แต่คนที่เดินเป็น
จะเหนื่อยอย่างเดียว คือเหนื่อยกาย ส่วนใจเขาสบายเพราะเขา
ยอมรับทุกอย่าง อะไรเกิดขึ้นเขาก็ยอมรับ ไม่บ่น ไม่โวยวาย
เขาไม่คิดว่าทำไมมันเป็นอย่างนี้ มันน่าจะเป็นอย่างโน้น มันน่าจะ
เป็นอย่างนั้น ใจแบบนี้กลายเป็นใจที่ชอบวิจารณ์ ชอบวิจารณ์โน่น
ชอบวิจารณ์นี่ คนที่ชอบวิจารณ์ชอบบ่น จะเป็นคนทุกข์ง่าย
ทุกข์เพราะใจตัวเอง……..!