โลกหมุนไปตามความคิด

ข้อมูลจากพระไตรปิฎก มีประโยคหนี่งว่า “โลกหมุนไปตามความคิด
ชีวิตเราคือโลก ๑ ใบ ซี่งหมายถึง คิดอย่างไรโลกก็จะเป็นแบบนั้น หากเรา
ฝึกคิดบวกจนชิน ทุกอย่างที่ทำก็จะได้ผลบวก”

ฉะนั้น โปรดจำไว้ว่า “ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรามีทั้งดีและไม่ดี สิ่งสำคัญ
อยู่ที่แนวความคิดของเราว่า เราจะเอาสิ่งที่อยู่รอบตัว มาทำให้เรามีกำลังใจ
ที่จะต่อสู้กับเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเราได้อย่างไร เช่น เวลาเจองานหนัก
ให้บอกกับตัวเองว่า นี่คือโอกาสและบทเรียนที่จะสร้างความเข้มแข็ง สร้างปัญญา
ได้อย่างวิเศษ เวลาเจอทุกข์หนัก ให้บอกตัวเองว่า นี่คือแบบฝึกหัดที่ทำให้เกิดทักษะ
ในการดำรงชีวิต”

อย่าทุกข์เพราะใจตัวเอง

เมื่อเริ่มต้นเดิน อย่ามองไปไกล จุดหมายของเราอยู่แค่ก้าวเท้า
แต่ละก้าวเท่านั้น สนใจกับแต่ละก้าวให้ดี แล้วที่เหลือมันมาเอง
อย่าไปกังวลกับจุดหมายมากนัก ไม่เช่นนั้นเราจะเบื่อ เราจะท้อ
ใจจะนึกว่าเมื่อไหร่จะถึง เมื่อไหร่จะถึง ทันทีที่เราเริ่มเดิน
ให้อยู่กับปัจจุบันให้ได้ และเปิดใจพร้อมยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นแดด ฝุ่น กรวดหินตามทาง ถ้าเราเปิดใจยอมรับทุกอย่าง
มีสติเดินอย่างระมัดระวัง เราจะเดินอย่างมีความสุข

แต่ถ้าใจเราบ่น ใจเราโวยวายว่า ทางน่าจะดีกว่านี้ น่าจะสั้นกว่านี้
ทำไมแดดร้อนอย่างนี้ คำว่าไม่น่าเลย ไม่น่าเลย ใจที่ดิ้น ใจที่ปฏิเสธ
ไม่ยอมรับความจริงนี่แหละ จะทำให้เราทุกข์มาก

ใจที่ยอมรับกับความจริงไม่ใช่ใจที่ยอมแพ้ แต่หมายความว่า
เราพร้อมที่จะเผชิญกับทุกอย่าง ถ้าเรายอมรับมันได้ เราจะมีแรงสู้
เราจะมีแรงเคลื่อน เราจะมีแรงขยับ ใจจะไม่บ่น อย่าลืมว่าเดินอย่างนี้
เราต้องเหนื่อยแค่อย่างเดียว อย่าเหนื่อยสองอย่าง คนเดินไม่เป็น
จะเหนื่อยสองอย่าง คือเหนื่อยกาย และเหนื่อยใจ แต่คนที่เดินเป็น
จะเหนื่อยอย่างเดียว คือเหนื่อยกาย ส่วนใจเขาสบายเพราะเขา
ยอมรับทุกอย่าง อะไรเกิดขึ้นเขาก็ยอมรับ ไม่บ่น ไม่โวยวาย
เขาไม่คิดว่าทำไมมันเป็นอย่างนี้ มันน่าจะเป็นอย่างโน้น มันน่าจะ
เป็นอย่างนั้น ใจแบบนี้กลายเป็นใจที่ชอบวิจารณ์ ชอบวิจารณ์โน่น
ชอบวิจารณ์นี่ คนที่ชอบวิจารณ์ชอบบ่น จะเป็นคนทุกข์ง่าย
ทุกข์เพราะใจตัวเอง……..!

พากายพาใจก้าวเดิน ให้พ้นเส้นทางอันตราย

ถึงแม้ร่างกายจะป่วย แต่ถ้าใจไม่ป่วย ก็จะมีกำลังใจ
ต่อสู้กับความเจ็บป่วยได้, ถึงแม้ร่างกายไม่ป่วย แต่ใจป่วย
ก็จะพาให้ร่างกายเหมือนป่วย และจะป่วยไปจริงๆด้วย

อากาศเปลี่ยนแปลงพยายามปรับร่างกาย รักษาร่างกาย
ให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงนั้น เช่น รับประทานอาหาร
ที่เป็นประโยชน์ ออกกำลังกายให้หมาะสม พักผ่อนให้เพียงพอ
ไม่มากไปไม่น้อยไป ทำใจให้ผ่องใสเข้มแข็ง

อะไรควรดูควรฟัง ก็ดูก็ฟัง หรือฟังแล้วดูแล้ว
ไม่เป็นประโยชน์ก็อย่าไปดูไปฟัง หรือจำเป็นต้องดูต้องฟัง
โดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ตั้งสติเพิ่มขึ้นอีก ให้มีกำลังเพียงพอ
กับการที่ต้องดูต้องฟัง จงจะสามารถรักษาร่างกายและจิตใจ
ไม่ให้ป่วยได้ และก้าวเดินต่อไป อย่างน้อยๆ
ก็ให้พ้นเส้นทางที่จะเป็นอันตรายให้ได้…..!

ฝึกจิตใจให้ผ่องใส สงบเย็น

ชีวิตจริง ย่อมอาจมีสิ่งที่ทำให้จิตใจเราเศร้าหมองเป็นทุกข์
มีสิ่งที่ทำให้พอใจและไม่พอใจ (ตามวิสัยปุถุชน)

การฝึกจิตใจให้ผ่องใส สงบเย็นนั้น จะช่วยให้เรามีชีวิตอยู่
อย่างเป็นสุข มีความเบิกบานใจอยู่เสมอ ได้แก่

๑. ฝึกการมองโลกในแง่ดี ในแง่ความจริง มีอารมณ์ขัน
หัวเราะ และยิ้ม
๒. ฝึกรู้จักให้อภัยตน และคนอื่นเสมอ
๓. ฝึกการรู้จักใช้ชีวิตที่พอเหมาะพอเพียง จัดสรรชีวิตตน
ครอบครัว การงาน การเงิน ให้มีความสมดุล
๔. รู้จักการพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ
๕. หากมีปัญหาไม่สบายใจ ควรหาทางผ่อนคลายอย่างเหมาะสม
การพูดจาปรึกษาหารือกับผู้ที่เราไว้ใจ การเล่นกีฬา การออกกำลังกาย
หรือการท่องเที่ยวธรรมชาติ
๖. การฝึกสมาธิอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง จะช่วยทำให้จิตใจสงบ
ไม่คิดฟุ้งซ่าน ช่วยให้จิตใจมีความสงบ เข้มแข็ง สามารถที่จะแก้ปัญหา
หรือทำงานให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี รู้จักใช้เหตุผล และเป็นคนสุขุมเยือกเย็น
๗. หลีกเลี่ยงสิ่งที่กระทบจิตใจ และไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขทั้งปวง

การรักษาจิตใจให้ผ่องใสอยู่เป็นนิจ ย่อมช่วยสร้างเสริมชีวิตตนเอง
และคนรอบข้างให้เกิดความสุข รวมถึงน้องหมาด้วย
ฮ่าๆๆ..!

เมื่อไม่อยาก ใจก็ไม่เป็นทุกข์

ชีวิตคนเราส่วนใหญ่หมุนเวียนไปตามความอยากมี อยากเป็น ความอยากจะเป็นตัวผลักดันให้โลดแล่นดิ้นรนไป ความอยากนั้นใักจะหนีไม่พ้นความอยากมี กับความอยากเป็น เช่น อยากมีเงินมีทอง อยากมีชื่อเสียงเกียรติยศ หรืออยากเป็น คนเด่นคนดัง แต่ไม่ว่าจะมีอะไรหรือเป็นอะไร ถ้าอยากมีอยากเป็นแล้วก็ทำให้ทุกข์ทั้งนั้น…!

ฉะนั้น..
มีอะไรทำได้ สงเคราะห์ได้ ก็ทำไป สงเคราะห์ไป
เท่าที่ตนจะทำได้ สงเคราะห์ได้
แต่อย่าทำเพราะ “ความอยาก” เด็ดขาด

“เมื่อไม่อยาก ใจก็ไม่ทุกข์”